โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้


โรค จมูกอักเสบจากภูมิแพ้
มีคำจำกัดความในทางคลินิกตามอาการคือ เป็นโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายชนิดที่มีอาการแสดงทาง จมูก เกิดหลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไป แล้วเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก ทำให้เกิดอาการคัน น้ำมูกไหล จาม และคัดจมูก ตั้งแต่น้อย จนถึงเป็นมาก

อุบัติการ 
โรค จมูกอักเสบจากภูมิแพ้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และประเทศอื่นๆทั่วโลก อุบัติการของโรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 10-25 ของประชากรทั่วไป อุบัติการของโรคนี้มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ที่มีมลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น เชื่อว่าการที่มีปริมาณของสารก่อภูมิแพ้มากขึ้น และประชากรสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ และสารระคายเคืองในอากาศมากขึ้น ทำให้พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ในเด็กจะพบโรคนี้ ในเด็กชายบ่อยกว่าเด็กหญิง แต่ในผู้ใหญ่จะพบในผู้หญิงได้บ่อยกว่าผู้ชาย โรคนี้มักจะเริ่มแสดงอาการในวัยเรียนหรือวัยรุ่น

ความสำคัญ
แม้ ว่าโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้นี้มักไม่รุนแรง แต่มีผลต่อการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของผู้ป่วย และมีผลต่อการเรียน และประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้คุณภาพชีวิตทั้งทางด้านร่างกาย , จิตใจ และการเข้าสังคมแย่ลง เมื่อเทียบกับคนปกติทั่วไป ยิ่งกว่านั้นค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคนี้ก็มีมูลค่าสูงด้วย นอกจากนี้การที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เช่นหูชั้นกลางอักเสบ โรคหืด ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก นอนกรนและ / หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

การจำแนกชนิดของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ 
ใน สมัยก่อนโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แบ่งโดยอาศัยระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการออก เป็นชนิดที่เป็นเฉพาะฤดู (seasonal) และชนิดที่เป็นตลอดทั้งปี (perennial) ส่วนการวินิจฉัยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ใช้ประวัติอาการคัน จาม น้ำมูกไหลและคัดจมูก โดยมีอาการดังกล่าวมากกว่าหรือเท่ากับ 2 อาการ และอาการเหล่านั้นเป็นอยู่นานมากกว่า 1 ชั่วโมง และ เป็นแทบทุกวัน คณะทำงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เสนอการแบ่งชนิดของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แบบใหม่ โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการวางแผนการรักษา ในการแบ่งกลุ่มใหม่ของโรคนี้อาศัย

อาการและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต 
ระยะเวลาที่เป็นโดยแบ่งเป็นกลุ่ม “ มีอาการเป็นบางครั้ง (intermittent)” หรือ “ มีอาการตลอดเวลา ( persistent ) ” 
แบ่งตามความรุนแรง คือ “ อาการน้อย ( mild)” หรือ “ อาการปานกลางถึงมาก( moderate – severe)” ขึ้นกับอาการและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย 
1. ผู้ป่วยมีอาการเป็นบางครั้ง หมายถึง มีอาการน้อยกว่า 4 วันต่อ 1 สัปดาห์ หรือมีอาการติดต่อกันน้อยกว่า 4 สัปดาห์

2. ผู้ป่วยมีอาการตลอดเวลา หมายถึง มีอาการมากกว่า 4 วัน ต่อ 1 สัปดาห์ และมีอาการติดต่อกันนานกว่า 4 สัปดาห์

องค์การอนามัยโลก ได้เสนอให้ใช้อาการทางคลินิกที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แบ่งความรุนแรงของโรคออกเป็น 2 กลุ่มคือ

อาการน้อย 
อาการปานกลางถึงมาก 
โดยในกลุ่มอาการน้อย ไม่มีอาการดังต่อไปนี้ ส่วนในกลุ่มอาการปานกลางถึงมาก มีอาการดังต่อไปนี้ 1 อาการหรือมากกว่าคือ

ไม่สามารถนอนหลับได้ตามปกติ 
มีผลต่อกิจวัตรประจำวัน , การเล่นกีฬา และ การใช้เวลาว่าง 
มีปัญหาต่อการทำงานและการเรียน 
อาการทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญ 
ลักษณะทางคลินิก

อาการ 
เมื่อ ผู้ป่วยสัมผัสสารก่อภูมิแพ้เช่น ฝุ่นบ้าน ผู้ป่วยจะมีอาการคันจมูก และอาจมีอาการจามติดๆ กันหลายครั้ง และมีน้ำมูกใสๆ และอาการคัดจมูกตามมา อาการดังกล่าวมักเป็นอยู่เป็นนาที หรือชั่วโมง หลังจากนั้นจะหายได้เอง โดยอาจมีอาการคันที่ตา , คอ , หู หรือที่เพดานปากด้วย นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการปวดศีรษะ , เสียงเปลี่ยน , จมูกไม่ได้กลิ่น , น้ำมูกไหลลงคอ , ไอ , เจ็บคอเรื้อรัง อาจมีอาการหูอื้อ หรือมีเสียงดังในหู

อาการแสดง
ผู้ ป่วยที่มีอาการตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นอยู่นาน ทำให้ต้องหายใจทางปากเสมอ อาจทำให้การเจริญเติบโตของกระดูกใบหน้าและฟันผิดปกติคือใบหน้าส่วนล่างจะ ยาวกว่าปกติ เนื่องจากต้องอ้าปากหายใจตลอดเวลา เพดานปากจะแคบและโค้งสูง ในเด็กที่มีอาการคันจมูก เด็กมักจะยกมือขึ้นขยี้ หรือ เสยที่ปลายจมูกบ่อยๆ การทำเช่นนี้นานๆ อาจทำให้เกิดมีรอยย่นที่สันจมูก รายที่มีอาการคัดจมูกอยู่นานๆ อาจทำให้มีการคั่งของเลือดบริเวณใต้ขอบตาล่าง

ขณะที่ ผู้ป่วยกำลังมีอาการ ถ้าตรวจจมูก จะพบว่าเยื่อบุจมูก จะบวม อาจมีสีซีด หรือสีคล้ำ มีน้ำมูกใสๆ จำนวนมาก เยื่อบุจมูกอาจมีริดสีดวงจมูกร่วมด้วยได้ เยื่อบุในโพรงหลังจมูกอาจบวมซีด และมีน้ำมูกใสๆ นอกจากนั้นอาจพบ ต่อมแอดีนอยด์โตได้ การตรวจคอ อาจพบผนังคอเป็นตุ่มนูนแดงกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งเกิดจากการระคายเคืองเรื้อรังของผนังคอจากน้ำมูกที่ไหลลงคอหรือจากการ หายใจทางปาก

การวินิจฉัยโรค 
มี จุดประสงค์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค รวมทั้งวินิจฉัยโรคอื่น ที่อาจเกิดร่วมกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากโรคนี้ เพื่อที่จะได้ให้การรักษาไปพร้อมกัน

1. ประวัติ อาศัย ลักษณะเฉพาะของอาการ เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ และอาจมีโรคภูมิแพ้อื่นๆร่วมด้วย เช่น โรคหืด , โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้ , โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ นอกจากนี้อาชีพ , สัตว์เลี้ยง และสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน รวมทั้งสารที่ผู้ป่วยคิดว่าตนแพ้ ประวัติครอบครัวก็มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรค โดยผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาจมีพ่อ , แม่ หรือ ญาติพี่น้อง เป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆดังกล่าวได้

2. การตรวจร่างกาย ถ้า ตรวจขณะที่มีอาการ ก็อาจพบอาการแสดงดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าตรวจขณะที่ไม่อาการ หรือผู้ป่วยกินยาระงับอาการของโรคภูมิแพ้อยู่ ก็อาจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

3. การตรวจพิเศษ จะ ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค ในรายที่มีประวัติ และการตรวจร่างกายเข้าได้กับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และจะช่วยในการวินิจฉัย ในรายที่มีประวัติ และการตรวจร่างกายไม่ชัดเจน หรือวินิจฉัยโรคอื่น ที่เกิดร่วมกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากโรคนี้ การตรวจพิเศษเหล่านี้ได้แก่

3.1 การตรวจหาจำนวนเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจากภูมิแพ้ ชนิดอีโอสิโนฟิลใน เลือด ถ้า พบว่าอีโอสิโนฟิลสูงมากกว่าร้อยละ 10 จะช่วยสนับสนุน แต่ถ้าไม่สูง ไม่ได้บอกว่าผู้ป่วยไม่เป็นโรคนี้ หรือถ้าสูงมากๆ อาจต้องคิดถึงโรคอื่นด้วย

3.2 การตรวจหาจำนวนอีโอสิโนฟิลในน้ำมูก โดย นำน้ำมูกผู้ป่วยมาป้ายแล้วย้อมสี ถ้าพบว่ามากกว่าร้อยละ 30 ของเม็ดเลือดขาวที่ตรวจพบเป็นอีโอสิโนฟิล ก็น่าจะเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ และจะช่วยสนับสนุน และเช่นเดียวกัน ถ้าไม่พบอีโอสิโนฟิลหรือพบน้อยกว่าร้อยละ 30 ก็ไม่ได้บอกว่าผู้ป่วยไม่เป็นโรคนี้

3.3 การตรวจหาเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบจากภูมิแพ้ ชนิดมาสต์เซลล์/ เบโสฟิลที่เยื่อบุจมูก โดยการขูดชั้นผิวของเยื่อบุจมูก แล้วย้อมสี ในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้จะพบ มาสต์เซลล์/ เบโสฟิลมากกว่าคนปกติ

3.4 การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง จะ ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ป่วยแพ้ ทำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง และให้ข้อมูลในกรณีที่ต้องรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีฉีดวัคซีน การตรวจวิธีนี้เป็นวิธีที่มีความไวและความจำเพาะสูงสุดในการตรวจวินิจฉัยโรค จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มี 2 วิธีคือ

- วิธีสะกิด ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ หยดลงบนผิวหนังที่แขน แล้วใช้เข็มสะกิดตรงกลางหยดน้ำยา เพื่อเปิดผิวหนังชั้นบนออก ถ้าผู้ป่วยมีปฏิกิริยาอักเสบจากภูมิแพ้ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ก็จะเกิดรอยนูน (wheal) และ ผื่นแดง (flare) และอาจมีอาการคัน อ่านผลได้ในเวลา 20 นาที หลังการทดสอบ

- วิธีฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ จำนวน 0.02 มล . ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ให้เกิดรอยนูนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 มม . อ่านผลในเวลา 20 นาที หลังฉีดโดยวัดขนาดของรอยนูนที่ขยายใหญ่ขึ้น

สาร ก่อภูมิแพ้ที่นำมาทดสอบ มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย เช่น ฝุ่นบ้าน , ตัวไรในฝุ่น , แมลงต่างๆ ที่อาศัยในบ้าน เช่น แมลงสาบ โดยทั่วไปจะทดสอบโดยวิธีสะกิดก่อน ถ้าให้ผลลบ จึงพิจารณาทดสอบโดยวิธีฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ต่อไป ถ้าวิธีสะกิดให้ผลบวกชัดเจน ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบโดยวิธีฉีดเข้าในชั้นผิวหนังอีก เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้มากจนช็อค

3.5 การหาปริมาณสารก่อภูมิแพ้ ในเลือด ซึ่ง หาได้ทั้งแบบไม่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ช่วยมากนักในการวินิจฉัยโรค และแบบที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศ เนื่องจากไม่เจ็บและไม่เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้มาก , ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องงดยาบรรเทาอาการภูมิแพ้ , ไม่ต้องใช้เวลานานในการทดสอบ ทำให้สะดวก เพียงแค่เจาะเลือด 1 ครั้ง สามารถตรวจหาสารที่ผู้ป่วยแพ้ได้หลายชนิด แต่ในประเทศไทยไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีราคาแพง

3.6 การนำสารที่สงสัยว่าผู้ป่วยแพ้ ใส่เข้าไปในเยื่อบุจมูก แล้วดูปฏิกิริยาของเยื่อบุจมูก และอาการของผู้ป่วย ซึ่งมักจะใช้ในการทำวิจัยมากกว่า อย่างไรก็ตามอาจมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคจมูกอักเสบจากการแพ้สารที่เกี่ยว ข้องกับการประกอบอาชีพ

3.7 เอ็กซเรย์ของไซนัส เพื่อดูว่าผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีโรคไซนัสอักเสบร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย

3.8 การส่องกล้องตรวจโพรงจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคป เพื่อ ตรวจภายในช่องจมูกให้ละเอียดมากขึ้น ในรายที่สงสัยว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน หรือโรคอื่นร่วมด้วย เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด , ริดสีดวงจมูกขนาดเล็ก , ไซนัสอักเสบ , เนื้องอกของจมูกและไซนัส , ความผิดปกติทางกายวิภาคอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการทางจมูก

การรักษา 
การ รักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ควรเริ่มตั้งแต่อธิบายให้ผู้ป่วยและคนในครอบครัวผู้ป่วย เข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้อง และแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตนเองให้เหมาะสม เช่น รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยออกกำลังกายสม่ำเสมอ , รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ , นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และ รักษาสุขภาพจิตให้สดชื่น แจ่มใส เพราะถ้ามีความเครียด วิตกกังวล อาจทำให้อาการของโรคเป็นมากขึ้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการของโรคหืด หรือโรคทางเดินหายใจส่วนล่าง ก็ควรให้การรักษาร่วมด้วย หลักการรักษามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ

1.  การหลีกเลี่ยง หรือกำจัดสิ่งที่แพ้

เป็น การรักษาที่สำคัญที่สุด โดยหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ หรือกำจัด หรือลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่ สุด โดยเฉพาะในห้องนอนซึ่งผู้ป่วยต้องใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ 6–8 ชั่วโมง ต่อวัน แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตว่า สารหรือภาวะแวดล้อมอะไร ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม บางครั้งการหลีกเลี่ยง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากในชีวิตประจำวัน

2. การใช้ยาบรรเทาอาการ เช่น

ยา ต้านฮิสตะมีน ซึ่งจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อให้ยา ก่อนที่จะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ การใช้ยากลุ่มนี้ แนะนำให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก และมีอาการเพียงครั้งคราว 
- ยาหดหลอดเลือด มีทั้งในรูปรับประทาน และใช้เฉพาะที่ ทำให้หลอดเลือดหดตัว และเนื้อเยื่อในจมูกยุบบวม ทำให้อาการคัดจมูกน้อยลง 
ยาสตีรอยด์ สามารถให้ได้ในรูปรับประทาน และใช้เฉพาะที่ โดยชนิดรับประทานมีข้อบ่งชี้ในการใช้รักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ คือ 
•  ในรายที่มีอาการคัดจมูกมาก ซึ่งทำให้การใช้ ยาสตีรอยด์พ่นจมูกได้ผลไม่ดี เนื่องจากยาไม่สามารถเข้าไปในจมูกได้ทั่วถึง

•  ในรายที่มีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ร่วมด้วย

•  ในรายที่มีริดสีดวงจมูกเล็กๆ ร่วมด้วย เพื่อทำให้ริดสีดวงจมูกยุบ

•  ในรายที่มีเยื่อบุจมูกเสียเนื่องจากการใช้ ยาหดหลอดเลือดชนิดใช้เฉพาะที่นานเกินไป

ยา สตีรอยด์ชนิดรับประทานมีข้อดีเหนือยาสตีรอยด์เฉพาะที่คือ มีผลต่อทุกส่วนของจมูกและโพรงอากาศข้างจมูก แต่อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้มาก จึงไม่ควรใช้ นานเกิน 14 วัน ส่วนยาสตีรอยด์เฉพาะที่ที่ใช้ในจมูกถือเป็นการรักษามาตรฐานของโรคนี้ โดยเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มากที่สุด ดังนั้นจึงใช้ยานี้ในการรักษาและป้องกันอาการ การใช้ยาสตีรอยด์เฉพาะที่ควรใช้ต่อเนื่องกันจึงจะได้ผลดี ในการคุมอาการของผู้ป่วย องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ใช้ยานี้เป็นยาชนิดแรกในการรักษาผู้ป่วยที่มี อาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แบบอาการปานกลางถึงมาก หรือ รายที่มีอาการตลอดเวลา หรือในรายที่มีอาการคัดจมูกเป็นอาการเด่น

3. การฉีดวัคซีน (allergen immunotherapy)

เป็น การฉีดสารก่อภูมิแพ้ ที่คิดว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการ เข้าไปในร่างกายทีละน้อย โดยฉีดเข้าในผิวหนัง (intradermal) หรือใต้ผิวหนัง (subcutaneous) แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนจนได้ขนาดสูงสุดที่ผู้ป่วยรับได้

ข้อบ่งชี้ในการพิจารณาให้การรักษาโดยวิธีนี้คือ
ผู้ป่วยแพ้สารก่อภูมิแพ้ ที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ 
ผู้ป่วยมีอาการมาก โดยมีอาการตลอดปี และเป็นมานานไม่ต่ำกว่า 1 – 2 ปี หรือมีอาการของโรคหืดร่วมด้วย 
ไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา หรือไม่สามารถทนอาการข้างเคียงของยาเหล่านั้นได้ 
การ ฉีดวัคซีนนี้เป็นวิธีเดียว ที่มีแนวโน้มว่าจะรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ให้หายได้ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์ระดับภูมิคุ้มกัน องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เริ่มฉีดวัคซีน ในระยะแรกของโรค เมื่อมีข้อบ่งชี้ เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา และป้องกันไม่ให้อาการของโรคที่เป็นอยู่รุนแรง และป้องกันไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนจากโรคตามมา

นอกจากการให้วัคซีนโดยวิธีฉีดแล้ว มีรายงานว่าการให้วัคซีน ทางจมูก หรือหยดใต้ลิ้น ก็ได้ผลดีเช่นกัน

การรักษาโดยการผ่าตัด 
อาจจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดรักษาอาการบางอย่าง เช่น อาการคัดจมูก หรือน้ำมูกไหล ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น

1.  การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการคัดจมูก ในรายที่เยื่อบุจมูกมีการหนาตัวขึ้นอย่างมาก อาจทำให้มีอาการคัดจมูกตลอดเวลา ซึ่งอาจรักษาโดย

การ ทำลายเยื่อบุจมูก เพื่อให้เกิดพังผืด หดดึงรั้ง ทำให้เยื่อบุจมูกยุบตัว จมูกโล่งขึ้น อาจทำโดยใช้จี้ไฟฟ้า , เลเซอร์ หรือใช้คลื่นวิทยุ หรือใช้เครื่องปั่น ตัด ดูด (microdebrider) ตัดเนื้อเยื่อจมูกใต้เยื่อบุจมูกออกบางส่วน 
การ ตัดกระดูกด้านข้างโพรงจมูกออก โดยอาจตัดเอาเยื่อบุที่หนาตัว หรือกระดูกด้านข้างโพรงจมูก ออกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเอาออกทั้ง 2 อย่าง จะทำให้โพรงจมูกโล่งขึ้น 
2.  การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการน้ำมูกไหล ได้แก่ การตัดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกบางเส้น ทำให้อาการน้ำมูกไหลลดน้อยลง

นอก จากนี้ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือมีโรคร่วมเกิดขึ้น ก็อาจต้องทำผ่าตัดรักษาเช่น ไซนัสอักเสบที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีริดสีดวงจมูกร่วมด้วย ก็อาจต้องผ่าตัดโพรงจมูกและไซนัสด้วยกล้องเอ็นโดสโคป รายที่มีน้ำคั่งในหูชั้นกลาง ที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจใส่ท่อระบายที่เยื่อแก้วหู

โรคที่พบร่วมกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

โรค จมูกอักเสบจากภูมิแพ้อาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ ได้แก่ หูชั้นกลางอักเสบและน้ำคั่งในหูชั้นกลาง โรคหืด เจ็บคอและไอเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก จมูกไม่ได้กลิ่น และปัญหานอนกรน และ / หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

1. หูชั้นกลางอักเสบและน้ำคั่งในหูชั้นกลาง คือ การอักเสบของเยื่อบุในหูชั้นกลาง มักจะมีสารคัดหลั่งเกิดขึ้นภายในหูชั้นกลางด้วย อาจเป็นน้ำใส , มูกหรือหนอง ถ้ามีอาการเกิดขึ้นเฉียบพลัน จะมีอาการไข้ ปวดหู หรือมีหนองไหลจากหู ในรายที่มีเยื่อแก้วหูทะลุ ในรายที่มีของเหลวขังอยู่ในหูชั้นกลาง จะไม่มีอาการและอาการแสดงของการอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักจะมีการได้ยินลดลง มักเกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เยื่อบุจมูกทำให้เกิดการบวมและอุดตันของท่อยู สเตเชียน (ที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก) ซึ่งทำให้ความดันอากาศในหูชั้นกลางต่ำกว่าภายนอก และเกิดสารคัดหลั่งในหูชั้นกลาง

2. โรคหืด

พบ ว่าร้อยละ 60 – 78 ของผู้ป่วยโรคหืดจะมีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย และ ร้อยละ 20 – 30 ของผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นโรคหืด โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมาก หรือควบคุมไม่ได้ดี จะทำให้อาการหอบหืดแย่ลง ถ้ารักษาให้อาการทางจมูกดีขึ้น อาการหอบหืดก็จะดีขึ้นด้วย

3. เจ็บคอและ / หรือไอเรื้อรัง

ผู้ ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาจมีอาการเจ็บคอ จากการที่มีอาการคัดจมูก และต้องหายใจทางปาก หรือมีน้ำมูกไหลลงคอ ทำให้มีอาการไอเรื้อรังร่วมด้วยได้

4. ไซนัสอักเสบและ / หรือริดสีดวงจมูก

ไซนัส อักเสบเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุไซนัส เมื่อเยื่อบุจมูกบวมจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะทำให้รูเปิดของไซนัสอุดตัน และเกิดการคั่งของสารคัดหลั่งภายในไซนัส และเกิดการบวมของเยื่อบุไซนัส และการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา นอกจากนั้นการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุจมูก เป็นปัจจัยหนึ่งในการเกิดริดสีดวงจมูก และถ้าเยื่อบุจมูกบวมมาก อาจทำให้อากาศไม่สามารถผ่านไปสู่เซลล์ประสาทรับกลิ่นที่โพรงจมูกส่วนบน ทำให้ได้กลิ่นน้อยลง หรือจมูกอาจไม่ได้กลิ่นเลยได้

5. การกรนและภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ

ร้อยละ 40 –60 ของผู้ป่วยจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีปัญหาคัดจมูก ซึ่งเกิดจากเยื่อบุจมูกบวม ทำให้การไหลเวียนของอากาศภายในโพรงจมูกลดลง และความต้านทานภายในโพรงจมูกสูงขึ้น การที่ต้องพยายามสูดลมหายใจเข้าแรงขึ้น ในขณะที่การไหลเวียนของอากาศลดลงในช่วงหายใจเข้า จะส่งผลให้เกิดการตีบแคบและอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน จนอาจเกิดเสียงกรน และถ้าการอุดกั้นทางเดินหายใจเป็นมากขึ้น อาจเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ ภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียหรือง่วงซึมในเวลากลางวัน ส่งผลให้การเรียนรู้และสมรรถภาพในการทำงานลดลง บุคลิกภาพแย่ลงรวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมากขึ้น ในผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มักมีปัญหาต่อมทอนซิลและแอดี นอยด์โตร่วมด้วยซึ่งเป็นสาเหตุของการกรน และ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่พบได้บ่อย

ขอขอบพระคุณ แหล่งที่มาข้อมูล ราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย www.rcot.org/